183
Products
reviewed
0
Products
in account

Recent reviews by SYD the Red

< 1  2  3 ... 19 >
Showing 1-10 of 183 entries
3 people found this review helpful
31.6 hrs on record (25.5 hrs at review time)
‘Chrono Ark’ เป็นอีกหนึ่งในเกมที่ผมซื้อมาตั้งแต่ช่วง Early Access เมื่อนานมาแล้วในราคาถูกเหมือนได้เปล่าและก็ลืมไปเสียสนิทว่าเคยมีเกมนี้ดองอยู่ที่ก้นคลัง ผมเพิ่งจะมีโอกาสย้อนกลับมาเล่นเมื่อไม่นานมานี้ในจังหวะที่ DLC ที่ 2 ของเกมวางจำหน่ายและก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นอีกหนึ่งเกมคุณภาพที่ไม่ค่อยจะได้เห็นใครกล่าวถึงสักเท่าไหร่

ในช่วงต้นของเกม Chrono Ark อาจจะชวนให้คุณคิดว่ามันเป็นเกมแนว Rogue-like ธีมแฟนตาซีแบบชีวิตติดลูปทั่ว ๆ ไป แต่เมื่อผมสามารถที่จะเคลียร์เกมได้สำเร็จเป็นครั้งแรก (ตัวเกมในโหมดปกติค่อนข้างจะง่ายเมื่อเทียบตามมาตรฐานของเกมแนว Rogue-like โดยทั่วไป) ผมก็พบข้อเท็จจริงที่ว่าเนื้อหาของเกมมีความซับซ้อนมากกว่าที่คาด ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโลกของเกมจะค่อย ๆ ถูกเปิดเผยออกมาทีละน้อยในทุกครั้งที่คุณสามารถเคลียร์เกมได้สำเร็จ ผมคงไม่อาจที่จะเปิดปากสปอยล์ได้แต่ Chrono Ark เป็นเกมที่มีเนื้อหาจัดได้ว่าน่าติดตามเอามาก ๆ เลยทีเดียว และถ้าคุณเป็นชาว Visual Novel ก็น่าจะชอบ

ในส่วนของระบบการเล่นก็ยังคงเป็น Rogue-like แบบที่เราต่างก็คุ้นชิน ทีมของเราจะประกอบขึ้นจากตัวละคร 4 คน (เริ่มลูปจะเลือกได้แค่ 2 และเลือกเพิ่มได้อีก 2 ระหว่างลูป) ที่มีลักษณะเฉพาะต่างกัน เราจะปลดล็อคการ์ดของตัวละครเพิ่มได้ผ่านการสำรวจและเลเวลอัพ ตัวเกมออกแบบลักษณะเฉพาะของตัวละครออกมาได้ดีทีเดียวและมีระบบการเล่นที่ต่างกันอย่างชัดเจน อีกทั้งการ์ดของตัวละครแต่ละคนยังครอบคลุมทั้งสนับสนุน รุกและรับทำให้เราสามารถที่จะปรับแต่งทีมได้หลากหลาย สาย Strategy ที่ชอบทดลองก็คงจะสนุกกับการทดลองทีมในเกมนี้มาก ๆ

สิ่งหนึ่งที่ Chrono Ark ต่างไปจากเกมอื่นก็คือตัวเกมจะมีหัวหน้าทีมก็คือเด็กสาวที่ชื่อ Lucy เธออาจจะไม่ได้ยืนตบตีกับศัตรูที่แถวหน้าด้วยตัวเอง (อย่างน้อยก็ในช่วงต้นเกมละนะ) แต่เราก็สามารถที่จะอัพเกรดเธอเพื่อปลดล็อคความสามารถพิเศษที่ช่วยสนับสนุนทีม และเธอก็เป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถจะช่วยกำหนดความเป็นตายของทีมได้ (โดยปกติแล้ว Lucy อาจจะไม่ได้ลงสนามสู้ด้วยตัวเอง แต่เธอก็คือตัวละครที่ OP ที่สุดในกลุ่มถ้าคุณรู้จักวิธีใช้งาน)

ตัวเกมอาจจะขับเคลื่อนด้วยเนื้อหา แต่ตัวเกมก็ยังคงเล่นกับลูปเหมือนเช่นเกม Rogue-like อื่น ๆ ซึ่งความพยายามของคุณในครั้งก่อนหน้าต่อให้ไม่สำเร็จ ก็มักที่จะปลดล็อคสิ่งของหรือตัวละครใหม่ ๆ เพื่อนำไปใช้งานในลูปต่อไปได้ ดังนั้นเกมจะค่อย ๆ ง่ายและสนุกมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามสไตน์ของเกมแนวนี้เมื่อเกมดำเนินต่อไป คุณสามารถที่จะสนุกกับเกมนี้ไปเรื่อย ๆ ได้จนกว่าจะปลดล็อคทุกสิ่งหรือเริ่มที่จะเบื่อไปเอง

โดยรวมแล้ว Chrono Ark เป็น Rogue-like ที่ ‘เหนือความคาดหมาย’ มาก ๆ สำหรับผม และถ้าคุณไม่รังเกียจงานภาพแบบอนิเมะ ผมก็อยากที่จะแนะนำให้ลองโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกมกำลังลดราคา
Posted 5 November.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
8 people found this review helpful
18.6 hrs on record (18.2 hrs at review time)
ในช่วงหลายปีให้หลัง Call of Cthulhu ก็คือหนึ่งใน TRPG (Tabletop Role-playing Game) ที่ผมมีโอกาสเล่นบ่อยครั้งมากที่สุดเกมหนึ่งและก็เป็นเวลานานมากแล้วที่ผมอยากจะให้มีเกมที่ดัดแปลงมาจากเกมนี้ Depersonalization อาจจะไม่ใช่ Call of Cthulhu อย่างตรงตัวเสียทีเดียว แต่ก็เป็นเกมที่ดัดแปลงมาได้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่พอจะหาได้ในท้องตลาดเวลานี้

ถ้าให้เล่าถึงเนื้อหากว้าง ๆ ของเกม ตัวคุณเองก็จะได้รับบทเป็นพ่อหนุ่มคนหนึ่งที่เรียกว่า ‘กุญแจเงิน’ (The Silver Key) ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยเทพีแห่งปริภูมิเวลา (ยอก-โซธอท) เพื่อที่จะต่อสู้กับอีกหนึ่งร่างอวตารของนางเองที่เรียกว่า ‘อฟอร์โกมอน’ (Aforgomon) ตัวเอกของเราก็จะสามารถส่งสติสัมปชัญญะของตัวเองเข้าไปสิงสู่ในร่างของบุคคลต่างยุคต่างสมัย (คล้ายกับพวก Yithians) เพื่อแก้ไขคดีประหลาดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวประหลาดและเหล่าเทพจากต่างโลกของคุณเลิฟคราฟท์

ตัวเกมก็จะถูกตัดแบ่งออกเป็นคดีย่อย ๆ (ในเกมจะเรียกว่า Modules) ที่มีความยาวต่อคดีประมาณ 1-2 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกที่จะไขปริศนาอย่างไรหรืออ่านเร็วหรือช้ามากแค่ไหน) สิ่งที่คุณจะต้องทำในเกมก็คือการรวบรวมเบาะแสที่มีเพื่อที่จะนำพาไปสู่ฉากจบของคดี บางคดีก็จะมีฉากจบที่หลากหลาย โดยบุคลิกของนักสืบที่คุณใช้ก็จะเป็นตัวแปรสำคัญที่อาจจะส่งผลต่อรูปคดี ก็เหมือนดังเช่น TRPG ส่วนใหญ่นั่นแหละ คุณจะสนุกกับเกมได้ก็เมื่อคุณ Roleplay เป็นตัวละครเหล่านั้น ถ้าคุณตั้งใจที่จะเล่นเพื่อเคลียร์ฉากจบเท่านั้น ความสนุกของเกมก็จะลดลงไปมาก

นักสืบคนหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นก็จะสามารถนำไปใช้ข้าม Module (ถ้าพวกเขารอดชีวิต) และคุณก็สามารถที่จะปลดล็อคแต้มหรือสิ่งของเพื่อนำมาใช้ในคดีต่อ ๆ ไปได้ด้วยตามแบบ TRPG ที่เรารักจะเล่นกัน

กฎของเกมก็ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนสักเท่าใดนัก ในทุกกิจกรรมที่คุณได้ทำก็จะใช้การทอยลูกเต๋าสิบหน้าสองลูกเพื่อตัดสินผลลัพธ์ เกมนี้จะอิงตามกฎ Call of Cthulhu ก็คือยิ่งได้แต้มน้อยก็ยิ่งดี (ไม่เหมือน D&D ที่ต้องการแต้มมาก) กิจกรรมโดยทั่วไปก็ขอให้คุณทอยได้ต่ำกว่าแต้มทักษะที่คุณมีก็จะถือว่าสำเร็จ (จริง ๆ แล้วก็มีกฎยิบย่อยอีกนิดหน่อยในเกม แต่กฎการเล่นในภาพรวมก็จะประมาณนี้) ถ้าคุณไม่เคยเล่น CoC มาก่อนก็อาจจะงงนิดหน่อยในช่วงแรก แต่เมื่อเริ่มคุ้นชินแล้วคุณก็จะสนุกกับมันมาก ๆ (CoC เป็นหนึ่งใน TRPG ที่มีกฎเข้าถึงได้ง่ายที่สุดเกมหนึ่ง)

จุดเด่นที่เห็นได้ชัดที่สุดของเกมก็คือโลกฉากหลังของเกมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Cthulhu Mythos ตัวเกมเลือกที่จะหยิบตำนานของเทพและสิ่งมีชีวิตจากต่างโลกทั้งหลายมาปรับใช้เพื่อสร้างจักรวาลใหม่ของตัวเองขึ้นมา (หลายสิ่งจึงไม่ตรงกับตำนานเดิมของคุณเลิฟคราฟท์เสียทีเดียว แต่จะใกล้เคียงกับจักรวาลขยายของ Chaosium มากกว่า) ดังนั้นคุณจึงมีโอกาสที่จะได้เผชิญหน้ากับเหล่าเทพจากต่างโลกที่เราคุ้นหน้าทั้งหลายที่ถูกสร้างโดยคุณเลิฟคราฟท์และผองเพื่อน เพียงแต่ตัวเกมจะให้อารมณ์แฟนตาซีมากกว่าที่จะเป็นเรื่องประหลาดแบบในนิยาย (ถ้าคุณชอบ ‘เรื่องเล่าจากข้างใต้ผืนฟ้าที่ไร้แสง’ ของผู้เขียน คุณก็อาจจะชอบเกมนี้)

และในเมื่อตัวเกมค่อนข้างที่จะเน้นเนื้อหา นี่จึงเป็นจุดบอดสำคัญเลยของเกม เพราะในขณะที่เขียนความเห็นนี้ มีเนื้อหาบางจุดที่ยังแปลไม่สมบูรณ์ หรือเนื้อหาส่วนที่แปลเสร็จแล้วก็ยังอยู่ในจุดที่อ่านรู้เรื่องแต่ไม่มีภาษาวรรณกรรม (ขณะที่เขียน Module ที่ใหญ่ที่สุดยังใช้โปรแกรมในการแปลภาษา ซึ่งทีมพัฒนาก็ยอมรับตามตรงและเขียนระบุไว้ในเกมเช่นนั้นเพื่อให้ผู้เล่นเตรียมใจล่วงหน้าพร้อมเปรย ๆ ว่าจะแปลในอัปเดตต่อ ๆ ไป) ดังนั้นถ้าคุณเป็นเกมเมอร์ที่ค่อนข้างจะจุกจิกเรื่องนี้ ผมก็แนะนำให้เลี่ยงเกมนี้ไปก่อน แต่ถ้าคุณเล่นเกมค่ายจีนมาเยอะ คุณก็คงจะคุ้นชินและไม่มีปัญหากับเกมมากนัก (งานแปลโดยภาพรวมก็ยังดีกว่าเกมจีนโดยทั่ว ๆ ไปมหาศาล ยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและแพชชั่นในงานของทีมพัฒนา เพียงแต่กำแพงภาษาและงบที่มีไม่เอื้ออำนวยจริง ๆ)

สรุปแล้ว Depersonalization ก็ถือได้ว่าเป็นเกมที่เกาถูกที่คันสำหรับชาวเลิฟคราฟท์เธียนผู้รักใน TRPG และ Call of Cthulhu เป็นอีกหนึ่งเกมที่ส่วนตัวผมอยากจะแนะนำเพราะรับรู้ได้ถึงความใส่ใจในงานของทีมพัฒนาที่ยังคงพยายามที่จะปรับปรุงเกมอยู่อย่างต่อเนื่อง
Posted 2 November.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
9 people found this review helpful
18.6 hrs on record (13.5 hrs at review time)
Summer Memories เป็นเกมที่เราจะได้รับบทเป็น เด็กเปรต เอ้ย! โชตะน้อยหน้าใสไร้ประสบการณ์ที่พ่อแม่ติดธุระเป็นเดือนก็เลยถูกส่งไปพักยังบ้านญาติที่ต่างจังหวัด และสิ่งที่ อีเด็กเปรต เอ้ย! หนุ่มน้อยจะต้องทำก็คือตามเก็บประสบการณ์ในฤดูร้อนที่กินเวลายาวนานถึง 30 วัน

ในแต่ละวันเราก็จะมีกิจกรรมมากมายให้ทำ ไม่ว่าจะเป็น NTR เมียคุณน้า , ทำการบ้านช่วงฤดูร้อนให้เสร็จด้วยความช่วยเหลือของลูกพี่ลูกน้องและคุณน้าสาว ที่สุดท้ายก็จบลงตรงเสียน้ำ , จับแมลง, ตกปลา, ขึ้นเขา, เข้าขมรมกรีฑา และก็ได้เสียกับคุณครูที่ปรึกษาชมรม , ปั่นกาชาในร้านขนม และก็ล่อกับพี่สาวเจ้าของร้าน , เล่นตีการ์ดกับเพื่อน ๆ พร้อมกับร่วมสู้กันด้วยพลังมิตรภาพ และจบลงตรงที่ไป NTR ไวฟุของมัน ฯลฯ ในเกมมีกิจกรรมมากมายหลากหลายให้เราสามารถที่จะเลือกทำเพื่อรวบรวมแต้มความทรงจำให้ได้มากที่สุดใน 30 วันและบันทึกเรื่องราวลงในไดอารีประจำวัน

ตัวเกมนั้นก็จะเต็มไปด้วย Mini-games ต่าง ๆ มากมายที่คุณสามารถจะเล่นด้วยมือเดียวได้อย่างสบาย (หลัก ๆ แล้วตัวเกมก็ใช้แค่คลิกซ้าย คลิกขวา หรือปุ่มกลาง ซึ่งปุ่มกลางกด Enter หรือ Spacebar แทนได้ถ้าคุณไม่มี และกดเร่งความเร็วระหว่างบทสนทนาได้ด้วยการกดปุ่มค้าง) วันหนึ่งก็จะแบ่งออกเป็นสามช่วงเวลาคือ เช้า บ่าย เย็นและค่ำ (เกมมียามดึกที่ช่วยให้คุณแอบไปตอกสาวตัวหลักทั้งสามยามหลับได้ด้วย) 30 วันของคุณก็จะวนเวียนอยู่กับการเล่น Mini-games เหล่านี้เพื่อที่จะปลดล็อก Skills ด้วยแต้มความทรงจำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตอก และพัฒนาความสัมพันธ์กับเหล่าสาว ๆ ในเกมเพื่อปลดล็อกฉากสำคัญ หรือก็คือฉากตอกและกระบวนท่าลีลาบันเทิง วันหนึ่งคุณจะทำกิจกรรมได้หลากหลายมากมายเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับแต้มกิจกรรมที่คุณมี (อัพเกรดได้ด้วยอีเวนต์และแต้มความทรงจำ)

เป็นเรื่องค่อนข้างจะยาก (ถ้าไม่พึ่งบทสรุป) ที่จะปลดล็อกทุกอย่างในการเล่นรอบเดียว แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะตัวเกมมีระบบ New Game+ ที่คุณสามารถเล่นเวียนซ้ำและรักษาทักษะ แต้มความทรงจำ เงินทองและทุกอย่างที่คุณมีจากการเล่นในรอบก่อนหน้า คุณสามารถที่จะเล่นเวียนซ้ำและดื่มด่ำไปกับช่วงเวลาฤดูร้อนได้หลายครั้งจนกว่าจะปลดล็อกทุกอย่างในเกมได้หมด และถ้าคุณวางแผนที่จะเล่นไปตำไปด้วยตัวเอง ตัวเกมก็น่าจะกินเวลานานพอสมควร (ผมเองที่หยุดอ่านทุกอย่าง มี AFK บ้างก็ใช้เวลาตีเป็นเลขกลม ๆ ประมาณ 10 ชั่วโมงในรอบแรก)

และเมื่อคุณเล่นเกมจบหนึ่งครั้ง ตัวเกมก็จะมีปลดล็อกโหมดอิสระให้คุณสามารถที่จะเข้าถึงคอนเทนต์ต่าง ๆ คุณปลดล็อกสำเร็จได้ด้วยเพื่อให้คุณเก็บไว้ชมในยามเหงา ซึ่งผมเชื่อว่าเวลาที่ใช้ในเกมส่วนใหญ่ของผู้เล่นทั้งหลายก็น่าจะหมดไปในโหมดนี้

ผมก็เล่นเกม แนว Nukige มาบ้างไม่มากก็น้อย Summer Momories ถือเป็นหนึ่งในเกม แนว Nukige ที่ผมรู้สึกประทับใจมาก ๆ เกมหนึ่ง และถ้าคุณกำลังมองหาเกม แนว Nukige ไว้ตำเล่นยามเหงา เกมนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดีมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในช่วงลดราคาที่มักจะมัดแพ็กรวมมาพร้อมกับ DLC (ที่ผมการันตีว่าคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์และควรที่จะมีเพราะมันช่วยให้ประสบการณ์ฤดูร้อนของคุณดีขึ้นมา) และภาคฤดูหนาว (ขณะที่เขียนความเห็นนี้ผมยังไม่ได้จับภาคฤดูหนาว แต่ถ้าแต้ม AP ยังไม่หมดก็จะมาเอ่ยความเห็นให้ได้ฟังอีกครั้ง)

ปล. ผมไม่อาจที่จะแปะ Link ได้เพราะจะมีปัญหา แต่ก่อนที่จะเริ่มเล่น จำเป็นที่จะต้องดาวน์โหลดอัพเดทเพิ่มจากเว็บไซต์ของ Kagura Games ครับ กดหาได้ที่หน้า Store ของ Steam นี่ละ เป็นของฟรีไม่ต้องจ่ายเพิ่ม
Posted 12 October. Last edited 12 October.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
3 people found this review helpful
12.7 hrs on record (10.0 hrs at review time)
เป็นธรรมชาติของข่าวลือที่จะส่งผลกระทบในทางลบไม่ทางใดก็ทางหนึ่งและในเวลาเดียวกันก็จะมีคนที่ได้ประโยชน์จากข่าวลือในทางลบเหล่านั้น

‘The Fabulous Fear Machine’ ก็คือเกมแนวประหลาดที่จะชักพาคุณไปสู่โลกของเรื่องเล่าข่าวลือ โดยคุณจะได้รับบทเป็นผู้ทำสัญญากับเครื่องจักรประหลาดที่เรียกว่า ‘The Fabulous Fear Machine’ (เครื่องจักรความกลัวแสนประเสริฐ) เพื่อที่จะกอบโกยประโยชน์เข้าตัวด้วยการสร้างความกลัวจากข่าวลือ

ตัวเกมเป็น Strategy ที่มีระบบการเล่นไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก ถ้าคุณยอมสละเวลาอ่านคำอธิบายเกี่ยวกับฟีเจอร์ต่าง ๆ สักหน่อยก็สามารถที่จะสนุกกับเกมได้ไม่ยาก โดยสิ่งที่คุณจะต้องทำภายในเกมก็คือการวางการ์ดข่าวลือลงบนแผนที่และใช้เอเยนต์ของคุณในการขุดหาทรัพยากร สำรวจหรือทำลายคู่แข่ง (ทั้งด้วยเรื่องจริงและเรื่องเท็จ) และทาสีของแผนที่ให้ทั่วด้วยความกลัว ระบบของเกมจัดได้ว่าสนุกแบบเรียบง่ายและเพลินอยู่มากพอสมควร

จุดเด่นที่สุดของ Fear Machine ก็คงจะเป็นการเล่าเรื่องราวออกมาในรูปของ Pulp Fiction งานภาพในเกมจะชวนให้รู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปสู่ยุค VHS ที่การ์ตูนผีเล่มละบาทสองบาทยังดัง ทว่าภายในเกมก็จะหยิบเอาตำนานเมืองและข่าวลือตามยุคสมัยต่าง ๆ มาใช้ในรูปของการ์ด (ถ้าคุณสามารถอัพเกรดข่าวลือจนเต็มถึงระดับสูงสุดก็จะสามารถเก็บการ์ดเข้าแฟ้มเพื่อสะสมได้) ถ้าคุณเคยเป็นเด็กที่โตมากับซีรีส์ Tales from the Crypt, Creep Show หรืออะไรทำนองนั้นก็คงจะรักเกมนี้เอามาก ๆ

ข้อด้อยที่ผมพบเกี่ยวกับเกมก็คงจะเป็นการที่ตัวเกมไม่ค่อยจะมีเหตุผลที่ชวนให้เล่นซ้ำมากนักนอกไปจากสะสมการ์ดให้ครบหรือย้อนไปเสพบรรยากาศ เพราะตัวเกมมีแคมเปญให้เล่นเพียง 3 บท (บทละประมาณ 2~4 ตอน) ดังนั้นคุณจึงสามารถที่จะเล่นเกมจบได้ภายในเวลาเพียงแค่ประมาณ 10 ชั่วโมงเศษ ๆ (แต่ถ้าจะเก็บการ์ดให้ครบก็น่าจะใช้เวลามากกว่านั้น)

แต่ในภาพรวมแล้ว The Fabulous Fear Machine ก็ยังจัดได้ว่าเป็นเกมที่คุ้มค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันลด และสำหรับผู้เล่นสาย Pulp Fiction ที่ชอบตำนานเมือง ข่าวลือหรือเรื่องประหลาด เกมนี้ก็น่าจะถูกจริตของคุณอย่างแน่นอน
Posted 3 September.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
11 people found this review helpful
70.0 hrs on record (18.6 hrs at review time)
หลายครั้งหลายหนอยู่ไม่น้อยที่ Creative Assembly มักที่จะเลือกทิ้งเกมและไม่อัพเดทต่อหลังจากที่กระแสไม่ดี (Attila, Three Kingdoms, Troy และอีกหลาย ๆ เกมในซีรีย์) ผมจึงค่อนข้างที่จะประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเมื่อได้ยินว่า Total War: Pharaoh จะได้รับการอัพเดทครั้งใหญ่จนกลายเป็นอีกเกมหนึ่งที่เรียกว่า Total War: Pharaoh Dynasties อีกทั้งยังเป็นอัพเดทฟรี (ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติของค่ายมาก ๆ)

ในเมื่อ CA ยอมที่จะแก้ไข อีกทั้งยังยอมที่จะลดราคาของเกมให้อยู่ในระดับที่จับต้องได้ ผมที่เป็นแฟนเกมของซีรีย์สายประวัติศาสตร์จึงยอมใจอ่อนลองที่จ่ายเงินมาลองอีกสักครั้ง

เป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจที่ไม่ผิดหวัง เพราะ Dynasties เป็นเหมือนกับมัมมี่ที่ถูกฝังซึ่งจู่ ๆ ก็ลุกกลับขึ้นมานั่งบนบัลลังก์อีกครั้ง ผมไม่อาจที่จะเทียบได้กับ Pharaoh ตัวต้นฉบับเพราะไม่ได้เล่น แต่ Totwal War: Pharaoh Dynasties มันคือเกมยุค Bronze Age ที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ

ถึงเกมจะชื่อ Pharaoh แต่ตัวเกมก็มีอารยธรรมเด่น ๆ จากยุคสัมฤทธิ์ให้เลือกครบ ไม่ว่าจะเป็นพวกเมโสโปเตเมีย, กรีก, ฮิตไทต์และคานาอัน สิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือแต่ละภูมิภาคหรือวัฒนธรรมล้วนแต่มีลูกเล่นเฉพาะและจุดเด่นเป็นของตัวเอง อีกทั้งแต่ละ Factions ก็ยังมีตัวละครหลัก ระบบการเล่นและยูนิตที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยในเกม (ณ ขณะที่เขียนบทวิจารณ์นี้) มี Factions ทั้งหลักและรองนับรวมกันได้ 39 Factions พื้นที่ของเกมอาจจะมีแค่อนาโตเลีย, กรีก, อียิปต์, เปอร์เชีย แต่มันก็เป็น Total War สายประวัติศาสตร์ที่ใหญ่และมีความหลากหลายมาก

ระบบหลาย ๆ อย่างของเกมยังค่อนข้างที่จะคล้ายกับ Troy (ซึ่งก็ถูกพัฒนาโดย CA Sofia เหมือนกัน ผมไม่แนะนำตัวหลักแต่ Troy + Mythos คือหนึ่งใน Total War ที่ถูกจริตผมที่สุดและผมก็อยากแนะนำให้ทุกท่านได้ลองเช่นกัน) ทว่าหลาย ๆ จุดถูกอัพเกรดเพิ่มเติม อาทิเช่น Region หลักของ Province ก็สามารถที่จะผลิตทรัพยากรได้จึงช่วยลดปัญหาตึง ๆ เรื่องทรัพยากรในช่วงต้นเกมได้มาก อีกทั้งข้อดีมาก ๆ ของ Troy เช่นความเสถียรของเกมหรือความเร็วในการโหลดระหว่างฉากก็ยังอยู่ จะว่า Dynasties เป็น Troy ในฉบับสมบูรณ์ที่ตัด Mythos ออกไปก็คงจะใช่ (ซึ่งในเกมก็มีตัวละครหลักใน Troy อยู่พร้อมหน้ายกเว้นแค่ว่าไม่มี Amazon) แต่ก็แน่นอนว่าตัวเกมยังคงไม่มียุทธนาวีซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

จุดที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับ Dynasties ก็คือตัวเกมมีฉากหลังตั้งอยู่ในช่วงที่เหล่าอารยธรรมในยุคสัมฤทธิ์กำลังจะล่มสลาย ธีมของเกมจึงค่อนข้างที่คล้ายกับ Attila อยู่มากพอสมควร แต่แทนที่จะต้องเผชิญหน้าภัยจากพวกฮัน ในเกมนี้กลุ่มผู้รุกรานก็จะกลายเป็น Sea Peoples แทน ซึ่งถ้าเราเล่นแบบปีละ 3 Turns (ตัวเกมเลือกปรับได้ว่าจะให้ปีหนึ่งยาวนานกี่เทิร์น) พวกเขาก็จะเริ่มปรากฏตัวขึ้นตามแนวชายฝั่งในช่วงประมาณเทิร์นที่ 25 และเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เหล่าผู้อารยะต้องเตรียมรับมือนอกไปจากงานบริหารและการเมืองภายใน

เป้าหมายในการเล่นก็ค่อนข้างที่จะแปลกไปในภาคนี้ เพราะแทนที่จะเน้นไปกับการไล่ทาสีแผนที่แบบเดิม ๆ ตัวเกมกลับใช้วิธีทำภารกิจเพื่อสะสม Victory Points แทน เมื่อคุณรวบรวมแต้มได้มากระดับหนึ่งคุณก็สามารถที่จะเคลมว่าเป็นผู้ชนะ โดยการได้มาของ VP นั้นก็มีหลากหลายไล่ตั้งแต่การทาแผนที่แบบปกติ สะสมทรัพยากร การทูต การเมือง ขับไล่ Sea Peoples และอีกหลากหลาย ตัวเกมจึงมีความเป็น Sandbox มากขึ้นและเปิดโอกาสให้เราเล่นแบบ Tall ได้แทนที่จะเน้นตีเมืองเพื่อขยายดินแดนแบบเดิม ๆ ส่วนตัวผมเองชอบความเปลี่ยนแปลงในจุดนี้มาก แต่ถ้าคุณเป็นผู้เล่นสาย Wide เท่านั้นและชอบการทาแผนที่มากกว่า คุณก็อาจจะไม่ชอบใจนักเพราะมีหลายสิ่งที่ต้องใส่ใจมากขึ้น

นอกจากนี้คุณยังสามารถที่จะปรับแต่งรายละเอียดของ Campaign ที่คุณเล่นได้อย่างละเอียดมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเทิร์นต่อปี โบนัสของ AI ทรัพยากรเริ่มต้น ความแข็งแกร่งของทหาร ฯลฯ ดังนั้นถ้าคุณคิดว่าเกมง่ายหรือยากไปหรือมีระบบบางจุดที่คุณไม่ชอบ คุณก็สามารถที่จะเพิ่มหรือตัดออกได้เท่าที่คุณพอใจ

และสิ่งน่าสนใจที่สุดที่มาพร้อมกับ Dynasties Update ก็คือระบบสาแหรกตระกูลแบบเดียวกันกับที่มีในสายประวัติศาสตร์ภาคเก่า ๆ ดังนั้นพวกตัวละครหลักของแต่ละ Factions จึงไม่ได้มีชีวิตเป็นอมตะอีกแล้ว พวกเขาสามารถที่จะตายได้ตอนอยู่ในสนามรบหรือสิ้นอายุขัย (ตัวเกมมีเพิ่มระบบ Lethality ที่ตีติดคริก็สามารถที่จะสังหารศัตรูได้ทันที แม้แต่อคิลิสก็เน่าได้ด้วยคันศรดอกเดียวถ้าโชคร้าย คุณจึงต้องคิดเยอะขึ้นในทุกครั้งเกี่ยวกับการพาแม่ทัพวิ่งเข้าไปตบตีในแถวหน้า) ระบบสาแหรกตระกูลที่เพิ่มเข้ามาช่วยให้เกมการเมืองน่าสนใจขึ้นมาก เพราะคุณสามารถที่จะรับอุปการะตัวละครจากต่าง Factions เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์และหวังยึดครองทีหลังหรือขอรับอุปการะไปเป็นบุตรของฟาโรห์เพื่อแอบครองอียิปต์อย่างเนียน ๆ ก็ได้ด้วย ถ้าคุณเป็นผู้เล่นสาย Roleplay ระบบนี้ก็คงจะช่วยเพิ่มอรรถรสได้มาก

Total War: Pharaoh Dynasties คือเกม Total War ที่สายประวัติศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ชอบในยุคสัมฤทธิ์รอคอย น่าเสียดายที่ตัวเกมไม่ได้ไปต่อ (อีกแล้ว) และ Dynasties ก็คืออัพเดทสุดท้ายถ้าไม่รวมแก้บัคยิบย่อย แต่มันก็เป็นอีกหนึ่ง Total War สายประวัติศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับราคาที่อยู่ในระดับจับต้องได้
Posted 27 July.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
4 people found this review helpful
73.2 hrs on record (72.5 hrs at review time)
ถ้าคุณถามผมว่า Total War ภาคใดที่ผมรักและชังมากที่สุด ผมก็ต้องตอบว่าเกมนั้นคือ Total War: ATTILA

เหตุผลที่ผมชังมันก็เพราะมันเป็นภาคที่มีปัญหาเยอะแยะจุกจิกเยอะที่สุด โดยตอนที่เกมวางจำหน่าย แทบจะไม่มี PC เครื่องใดที่รันมันได้นิ่ง ๆ แบบกราฟฟิคปรับสุด ซึ่งทีมพัฒนาก็ได้ให้เหตุผลว่า "เกมถูกออกแบบเพื่ออนาคต" แต่มาจนถึงวันนี้เมื่อเกมวางจำหน่ายมาเกือบ 10 ปี ก็ยังมี PC น้อยเครื่องที่สามารถจะรันเกมนี้ได้อย่างไร้ปัญหา และก็เป็นเพราะเหตุนี้ ATTILA ถึงถูกมองในแง่ลบมาโดยตลอดจากแฟน ๆ ของซีรีย์

ในทางกลับกัน ผมกลับรักแทบจะทุกอย่างที่มีอยู่ในภาคนี้ เพราะมันไม่ใช่ Total War แบบที่คุณสร้างกองทัพขึ้นมาเพื่อไล่ทาสีแผนที่เหมือนกับทุกภาค ทว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนกับเกมแนว Survival ที่คุณจำเป็นจะต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากปัญหาต่าง ๆ ที่รุมล้อม ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ภัยรุกรานจากพวกชนบนหลังม้าและพวกผู้อพยพ การขาดอาหาร หรือแม้แต่โรคระบาด คงจะไม่มีเกมภาคใดในซีรีย์อีกแล้ว (อย่างน้อยก็ในตอนนี้) ที่ทำให้คุณรู้สึกสิ้นหวังและรู้สึกเหมือนกับกำลังจะได้เผชิญกับวันสิ้นโลกที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้

"วันสิ้นโลก" ก็คือธีมที่ ATTILA ได้นำเสนอ เพราะตัวเกมมีฉากหลังตั้งอยู่ในช่วงยุคเปลี่ยนผ่านจากจักรวรรดิโรมันมาสู่ยุคเรืองอำนาจของพวกแฟรงค์ (ตัวเกมมีภาคเสริม "ชาร์เลอมาญ" ด้วย ผมขอการันตีว่ามันคือหนึ่งใน DLC ที่ดีที่สุดตลอดกาลของ Total War หรืออย่างน้อยก็ในความเห็นของผม) มันจึงเป็นหนึ่งใน Total War ที่มีความยากมากที่สุดเกมหนึ่งและมีระบบที่ค่อนข้างลึกกว่าเกมอื่น ๆ ซึ่ง "โรมันตะวันตก" ที่กำลังจะล่มสลายก็คือหนึ่งในแคมเปญที่ยากที่สุดของซีรีย์นี้ในสายประวัติศาสตร์ที่ผมอยากจะให้แฟน ๆ ผมชอบความสิ้นหวังได้ลอง

และสิ่งที่น่าสนใจอีกประการเกี่ยวกับ ATTILA ก็คือมันเป็นอีกหนึ่งเกมในซีรีย์ที่มี MOD น่าสนใจเยอะมาก ๆ และถ้าคุณกำลังเฝ้ารอ Medieval 3 ผมก็อยากที่จะแนะนำให้ลอง 1212 AD ซึ่งแทบจะเป็นเหมือนกับ Medieval 2 ที่ใช้เอนจิ้น ATTILA

ATTILA อาจจะไม่ได้รับการสนับสนุนที่ดีอย่างที่ควรจะเป็นจากทีมพัฒนา (ซึ่งก็น่าเสียดาย เพราะถ้าทีมพัฒนาสามารถที่จะแก้ปัญหาเรื่องความเสถียรของเกมได้ มันจะกลายเป็นหนึ่งในเกมขึ้นหิ้งของซีรีย์อย่างไร้ข้อโต้แย้ง) แต่ถ้าคุณชอบประวัติศาสตร์ยุโรปในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังและรักความยากในระดับท้าทาย เกมนี้ก็คือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมของคุณโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันลดราคา (หรือแค่ซื้อเกมมาเพื่อเล่นภาคเสริม Charlemagne หรือ 1212 AD ก็คุ้มมาก ๆ แล้ว)
Posted 17 July.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
5 people found this review helpful
70.1 hrs on record
ผมอาจจะไม่ใช่แฟนดิจิมอน แต่ก็ยังรู้จักกับ Digimon Story Cyber Sleuth มาตั้งแต่ก่อนที่จะมีโอกาสได้เล่น เพราะมันเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งใน JRPG ที่ดีมาก ๆ เกมหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่ผมได้มีโอกาสได้เล่น ผมก็เห็นด้วยเลย 100% มันเป็น JRPG ที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ และเป็นเกมที่ดีที่ช่วยแนะนำจักรวาลดิจิมอนให้กับคุณได้รู้จัก

สำหรับ Cyber Sleuth: Complete Edition ตัวนี้จะเป็นเกม 2 in 1 ที่มี Cyber Sleuth ตัวต้นฉบับและ Hacker's Memory ซึ่งเป็น Side Story ซึ่งเนื้อหาของเกมทั้งสองภาคจะดำเนินไปคู่กัน ดังนั้นเพื่อที่จะเข้าถึงเนื้อหาทั้งหมด ผู้เล่นจึงควรที่จะเริ่มจาก Cyber Sleuth (แต่จะเริ่มจาก Hacker's Memory ก็ไม่ผิด เพียงแต่คุณจะสนุกและเข้าถึงเนื้อหามากกว่าถ้าเริ่มจาก CS) ก่อนที่จะเริ่ม HM โดยคุณสามารถที่จะถ่ายโอนข้อมูลของดิจิมอนที่พบระหว่างเกมได้ด้วยหลังจากเล่นจบ (และถ้าคุณเล่นจบทั้งสองเกมแล้ว คุณสามารถที่จะถ่ายโอนดิจิมอนระหว่างกันได้เลย ไม่ใช่แค่ฐานข้อมูล)

ใน Cyber Sleuth เราก็จะได้รับบทเป็นนักสืบดิจิตอลที่จะต้องใช้ดิจิมอนในการค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องประหลาดที่จู่ ๆ ก็เกิดขึ้นในโตเกียว (และมักที่จะมีดิจิมอนเข้ามาเกี่ยว) ซึ่งเนื้อหาของ CS จะมีสเกลที่ใหญ่กว่าคล้ายกับผู้กล้ากู้โลก ทว่าใน Hacker's Memory ที่เป็นเนื้อหาคู่ขนาน ตัวเอกจะเป็นแฮกเกอร์เมื่อใหม่ที่ต้องไล่ล่า ID ที่ถูกแฮกของตัวเองกลับคืนมา ซึ่งเป็นสเกลที่เล็กกว่าแต่เนื้อหาทั้งสองก็เกี่ยวพันกันแบบอ้อม ๆ และน่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน อย่างไรก็ตามเนื้อหาก็ไม่ใช่จุดแข็งที่สำคัญของเกม ทว่าเป็นเกมเกมเพลย์เสียมากกว่า

จุดเด่นที่สุดของ Digimon Story ก็คือการที่เราสามารถที่จะปลุกปั้นทีมดิจิมอนของเราเองได้จากที่มีอยู่ในเกม 300 กว่าชนิด โดยดิจิมอนของเราก็สามารถที่จะ Digivolution (วิวัฒนาการ) และ De-digivole (ลดขั้นวิวัฒนาการ) ตัวเองได้ นี่ก็คือจุดเด่นสำคัญของดิจิมอนซีรีย์เพราะการได้เห็นดิจิมอนของเราวิวัฒนาการไปเป็นร่างใหม่ ๆ และมีความสามารถใหม่ ๆ เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นเอามาก ๆ และการเก็บเลเวลเกมนี้ก็ไม่สู้จะลำบากโดยเฉพาะในช่วงปลายเกมถ้าคุณรู้ว่าจะใช้งานดิจิมอนบางตัว (ที่ช่วยเพิ่ม EXP) และของสวมใส่ (Tactical EXP) อย่างไร ถ้าคุณเป็นผู้เล่นสายทดลองคุณก็จะสนุกมาก ๆ กับการสร้างและพัฒนาดิจิมอน แต่ถ้าคุณเป็นสายเนื้อหาที่ไม่ถูกจริตกับการ Grinding นัก ผมก็ไม่คิดว่าเกมนี้จะเหมาะกับคุณ

ข้อด้อยที่เห็นได้ชัดที่สุดเกี่ยวกับ Cyber Sleuth ก็คงจะเป็นเรื่องกราฟฟิกที่ค่อนข้างจะตกยุคถ้าขุดมาเล่นในปีนี้ และความหลากหลายของสภาพแวดล้อมก็มีไม่มากสักเท่าไหร่ เพราะตัวเกมมักที่จะใช้ฉากเดิมซ้ำ ๆ เวียนไป อีกทั้งฉากก็ยังเป็น 2.5D แบบหมุนมุมกล้องไม่ได้ด้วย อีกทั้งถ้าคุณใช้คีย์บอร์ดเล่น การปรับแต่งปุ่มก็น่าจะทำให้คุณรู้สึกสับสนได้ไม่น้อย ผมจึงอยากที่จะแนะนำให้คุณใช้ Controller ถ้าต้องการจะเล่นเกมนี้

อย่างไรก็ดี Digimon Story Cyber Sleuth: Complete Edition ก็เป็น JRPG ที่ยอดเยี่ยมาก ๆ และคงจะดียิ่งขึ้นไปอีกถ้าคุณสนใจหรือเป็นแฟนดิจิมอน มันคือเกม 2 in 1 ที่คุ้มค่ามาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณซื้อมันในช่วงเทศกาลลดราคา (ซึ่งเกมค่ายนี้ก็ลดค่อนข้างจะบ่อย)
Posted 10 July.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
15 people found this review helpful
215.7 hrs on record (54.8 hrs at review time)
บนหน้าร้านของ Steam อาจจะมีเกม Wuxia (และ Xianxia) ให้ได้เลือกเยอะ แต่ถ้าถามถึงเกม Wuxia ที่ดีที่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปก็คงจะมีอยู่แค่ไม่กี่เกม และ Wandering Sword ก็คือหนึ่งในเกมที่ผมอยากจะแนะนำ หรือต่อให้คุณจะไม่ใช่แฟน Wuxia ผมก็ยังอยากจะแนะนำให้คุณได้ลองอยู่ดี เพราะมันเป็นเกมแนว Turn-based คุณภาพเกมหนึ่ง

ภายในเกมนี้เราก็จะได้รับบทเป็นไอ้หนุ่มดวงซวยคนหนึ่งที่บังเอิญไปอยู่ผิดที่ผิดทางกลางดงจอมยุทธตีกัน เขาก็เลยโดนพิษแถมสูญเสียหมู่เพื่อนที่รัก เมื่อฟื้นกลับขึ้นมาเขาก็เลยพยายามที่จะฝึกเคล็ดวิชาเพื่อที่จะกลับไปล้างแค้น และก็ทำให้เขาหลงเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งที่ใหญ่กว่านั้น เนื้อหาในภาพรวมของเกมก็จะคล้าย ๆ กับนิยายแนวกำลังภายในโดยทั่ว ๆ ไปที่หลาย ๆ ท่านน่าจะเคยได้อ่านและคุ้นชิน ก็ไม่นับเป็นข้อเสีย เพราะถ้าคุณชอบนิยายกำลังภายในหรือจีนโบราณ ก็เป็นไปได้มากที่คุณจะถูกใจเกมนี้เพราะมันมีทุกสิ่งที่คุณต้องการ

สิ่งที่ส่วนตัวผมเองชอบมากประการหนึ่งเกี่ยวกับ Wandering Sword ก็คือตัวเอกสามารถที่จะออกท่องยุทธภพเพื่อที่จะรวบรวมเคล็ดวิชาเพื่อพัฒนาตัวเองได้อย่างไม่จำกัด (ชวนให้นึกถึงตัวละครอย่างเตียบ่อกี้จากดาบมังกรหยกเอามาก ๆ ด้วยเหตุผลหลากหลายประการ) ตัวเอกสามารถที่จะใช้อาวุธและวรยุทธได้ทุกสำนัก (ตราบใดที่คุณอดทนพอที่จะไล่ตีศัตรูเก็บแต้มเพื่อเอามาพัฒนาตัวเอง เกมนี้ไม่มี Level) ตัวเอกจึงสามารถที่จะพัฒนาตัวเองได้ไม่จำกัดและสามารถที่จะสร้าง Build ได้หลากหลาย การท่องทั่วหล้าเพื่อรวบรวมวรยุทธจากแต่ละสำนักจึงเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สนุกมาก ๆ ของเกมนี้

ระบบต่อสู้ของเกมให้เลือกทั้งแบบที่เป็น Turn-based และ Realtime ซึ่งคุณสามารถที่จะเลือกปรับได้ตลอดระหว่างที่เล่น โดย Realtime นั้นก็เหมาะที่จะใช้ระหว่างเดินสำรวจและจัดการกับศัตรูหมู่มาก ส่วน Turn-based ก็เหมาะสำหรับการตบตีกับบอสทั้งหลาย ระบบต่อสู้ของเกมเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ทำออกมาได้ดีมาก คุณสามารถที่จะตั้งวรยุทธเพื่อใช้ได้ถึง 4 ชุดสำหรับสถานการณ์ต่าง ๆ และวรยุทธแต่ละสำนักก็จะมีรูปแบบการโจมตีและลักษณะเฉพาะที่ต่างกัน คุณสามารถที่จะผสมวรยุทธแต่ละสำนักเพื่อที่จะสร้างชุดการโจมตีที่ถูกจริตของตัวเองได้ ถ้าคุณเป็นผู้เล่นที่ชอบทดลอง คุณก็อาจจะรู้สึกสนุกที่จะสร้างชุดคอมโบเพื่อสู้ในระบบ Turn-based

เนื้อหาอาจจะเป็นได้ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของเกมขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังมองหาอะไรจากเกม ในเมื่อตัวเกมมีเนื้อหาชัดเจนและตัวเอกก็มีบุคลิกและเป้าหมายเป็นของตัวเองชัด ตัวเกมจึงไม่ได้ให้อิสระกับคุณมากนัก ถึงแม้คุณอาจจะสามารถเรียนรู้วิชายุทธจากทุกสำนักใต้หล้า แต่คุณก็ไม่อาจที่จะเข้าร่วมสำนักเหล่านั้นได้ (หลาย ๆ สำนักก็ยังมีเควสที่เราเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องได้ ก็เป็นในฐานะคนนอก) และเส้นทางที่เราจะต้องไปก็มักที่จะถูกกำหนดเอาไว้ให้เป็นลำดับขั้นตอน อาจจะมีเควสรองให้ได้พบบ้างแต่ก็ไม่ได้หลุดไปจากเส้นทางหลักมากนัก ดังนั้นถ้าคุณหวังว่าจะได้ออกท่องยุทธจักรทันทีที่จบบทนำ นี่ก็ไม่ใช่เกมที่คุณมองหา แต่ถ้าคุณต้องการเสพเนื้อหา Wuxia ดี ๆ Wandering Sword ก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ (ตัวเกมมีฉากจบมากกว่าหนึ่ง แต่เนื้อหาหลักที่คุณจะได้พบในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากกันมากนัก)

กราฟฟิกของเกมอาจจะเป็นพิกเซล แต่ฉากหลังที่ขับเคลื่อนด้วย Unreal Engine ก็งามสะดุดตามาก ๆ อีกทั้งฉากหลังของเกมที่เป็นประเทศจีนโบราณยังมีสภาวะแวดล้อมอันหลากหลาย การเดินทางในเกมจึงน่าจดจำสุด ๆ เพราะคุณจะได้พบเจอทั้งที่ลุ่มภาคกลาง ป่าไผ่ ทุ่งร้างแดนเหนือ ทะเลทราย หรือแม้กระทั่งป่าดงดิบ ถ้าคุณชอบกราฟฟิกแบบ Octopath Traveller ก็เป็นไปได้มากที่คุณจะรักกราฟฟิกของเกมนี้

ณ ขณะที่ผมกำลังเขียนความเห็น ตัวเกมยังคงมีแผนที่จะอัพเดทเนื้อหาและระบบเพิ่ม ดังนั้นหลาย ๆ อย่างที่คุณได้อ่านจึงอาจจะเปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามถ้าคุณกำลังมองหาเกมแนว Wuxia ดี ๆ Wandering Sword ก็คือหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้น ๆ ที่คุณมี ต่อให้ตัวเกมจะเป็นราคาเต็มก็ยังจัดได้ว่าคุ้มมาก ๆ อยู่ดี
Posted 10 May.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
22 people found this review helpful
174.6 hrs on record (96.0 hrs at review time)
Hero's Adventure: Road to Passion คือหนึ่งในเกม RPG ธีม Wuxia ที่ดีที่สุดที่ผมได้มีโอกาสเล่นในรอบหลายปีให้หลัง และถ้าคุณชอบเกมแนว RPG ผมอยากที่จะให้คุณมองข้ามเรื่องกราฟฟิกและลองสัมผัสกับเกมนี้ดู และเพราะเกมนี้จะทำให้คุณประหลาดใจได้ในความยอดเยี่ยมของมัน

ภายในเกมเราก็จะได้รับบทเป็นจอมยุทธหนุ่มผู้ที่เพิ่งจะได้เริ่มออกท่องยุทธจักร แต่เป้าหมายหลักคืออะไร นั่นก็คือสิ่งที่ตัวคุณเองสามารถที่จะกำหนด คุณอาจจะใช้วิทยายุทธที่เรียนรู้มาเพื่อกู้ชาติ หรือเรียนรู้วิชามารเพื่อหาประโยชน์ใส่ตน ศึกษารวบรวมวรยุทธเพื่อเป็นหนึ่งในยุทธภพ หรือกำราบสำนักต่าง ๆ เพื่อรวมยุทธภพให้เป็นหนึ่งอีกครั้ง Hero's Adventure อาจจะเป็นเกมเล็ก ๆ แต่มีความหลากหลายด้านเนื้อหามากกว่าเกม RPG ตลาดทั่วไปมากจนเกือบที่จะเรียกได้ว่าเป็น Sandbox ดังนั้นถ้าคุณเป็นผู้เล่นสาย Roleplay ที่รักอิสระและความเป็นไปได้อันหลากหลาย นี่คือเกมที่ผมอยากจะแนะนำเพราะคุณสามารถที่จะเวียนกลับมาเล่นซ้ำได้มากเท่าที่คุณจะเบื่อ

จุดเด่นที่ผมชอบมาก ๆ เกี่ยวกับเกมก็คือระบบพัฒนาตัวละคร ที่ Stats ของตัวละครจะขึ้นอยู่กับวิทยายุทธที่คุณเลือกจำ คุณสามารถที่จะสร้าง Build ของตัวละครได้หลากหลายมาก ๆ ขึ้นอยู่กับวิทยายุทธที่คุณเลือกเรียนและอาวุธที่คุณเลือกใช้ อีกทั้งตัวละครแต่ละตัวก็ยังมี Traits อันหลากหลายที่สามารถจะส่งให้ Gameplay เปลี่ยนไป ถ้าคุณเป็นผู้ที่มีใจรักการทดลองเหมือนผม ก็เป็นไปได้มากที่คุณจะสนุกกับการสร้างตัวละครในเกมนี้

ถึงตัวเกมจะเป็น RPG แต่ Achievement ของเกมที่คุณปลดล็อกได้ก็จะช่วยให้คุณสามารถปลดล็อก Traits และโบนัสพิเศษเมื่อคุณเริ่มสร้างตัวละครใหม่ในเซฟต่อ ๆ ไป นี่คืออีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจเพราะเกม เพราะบาง Traits ของตัวละครสามารถที่จะเปลี่ยน Gameplay ไปได้อย่างมาก และนี่ก็คือจุดที่ทำให้การย้อนกลับมาเล่นซ้ำน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ รอบ (ยกเว้นแต่ว่าคุณจะเกาะ Meta ไม่ยอมปล่อยและไม่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มากนัก) ดังนั้นจะว่าตัวเกมแอบมีความเป็น Rogue-like หน่อย ๆ ก็คงจะได้

อย่างไรก็ตามข้อเสียสำคัญของเกมก็คือตัวเกมภาษาอังกฤษแปลมาไม่สู้จะดีนัก (อย่างน้อยก็ตอนที่ผมเขียนความเห็นนี้) ก็ยังพออ่านได้เข้าใจไม่ถึงกับเลวร้าย แต่ก็ชวนให้รู้สึกขัดใจอยู่บ้างและทำให้เข้าถึงเนื้อหาบางจุดอย่างเช่นปริศนาได้ยาก กระนั้นเราก็ยังสามารถที่จะสนุกกับการผจญภัยได้ไม่ยาก เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่ของเกมเป็นสไตน์ Wuxia ที่เราคุ้นชินไม่ได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรนัก แต่ถ้าคุณเป็นคนที่หงุดหงิดง่ายและต้องการที่จะอ่านภาษาวรรณกรรมเท่านั้น ผมก็ไม่สู้จะแนะนำ

อีกจุดที่อาจจะเป็นข้อเสียได้ก็คือระบบการเล่นของเกมอาจจะไม่ซับซ้อนแต่หลากหลายกว่าที่คิด คุณอาจจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาอยู่นานพอสมควรเพื่อที่จะเรียนรู้และเข้าใจระบบของเกม เพราะตัวเกมไม่ได้เททุกอย่างให้คุณในทีเดียว และก็มีหลาย ๆ จุดที่คุณจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และทดลองด้วยตัวเอง มันเป็นอีกหนึ่งความสนุกของเกมแต่ผมก็ไม่คิดว่าผู้เล่นบางท่านที่คุ้นชินกับ RPG ที่ปักหมุดหรือบอกทุกอย่างให้โต้ง ๆ จะชอบใจนัก แต่ถ้าคุณเป็นผู้เล่นสายนักทดลอง นี่ก็ถือได้ว่าเป็นข้อดีมากกว่าข้อเสีย เพราะตลอดการเล่นคุณจะได้พบเจอและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา

โดยรวมแล้ว Hero's Adventure: Road to Passion เป็นเกมเล็ก ๆ ที่ถือได้ว่าคุ้มค่ากับเงินและเวลามาก ๆ ถ้าคุณชอบ RPG ก็ควรที่จะลอง และถ้าคุณชอบเกมแนว Wuxia ก็ยิ่งต้องลอง คุณจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
Posted 3 May.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
3 people found this review helpful
0.0 hrs on record
เพื่อนของคุณในชุดว่ายน้ำแถมเพลง (ที่เริ่มเล่นตอนร่าย)
เพลงมีทั้งเวอร์ชั่นปกติและเวอร์ชั่นใหม่สำหรับเกม ถ้าชอบฟุบุกิก็กดเถอะ
Posted 19 April.
Was this review helpful? Yes No Funny Award
< 1  2  3 ... 19 >
Showing 1-10 of 183 entries